ข้อคิด คำคมของพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี(ว. วชิรเมธี)

วันนี้นำข้อคิด คำคมของพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี(ว. วชิรเมธี) พระภิกษุชาวไทย มีชื่อเสียงว่าเป็นพระนักวิชาการ นักคิดนักเขียน และนักบรรยายธรรม เพื่อเป็นกำลังใจในการดำเนินชีวิต


อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน

ความสุข ขั้นที่สอง หาได้จาก ปัญญาสุข สุขจากการแสวงหา

ถ้าคุณเป็นคนดีแล้ว นั่นแหละคุณบรรลุวัตถุประสงค์ของการมีวัด วัดอยู่ในใจคุณแล้ว

ความจริงบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องไปพิสูจน์ให้เห็นด้วยตา เพราะมันเป็นสิ่งที่ต้องใช้ปัญญา ในการมอง

ถ้าเราข้ามรูปลักษณ์ภายนอก เจาะไปที่สาระก็ไม่มีปัญหาที่วู้ดดี้จะคุยกับพระไม่ได้

มีชื่อเสียงก็เหมือนอยู่ที่แจ้ง แดดส่องก็ได้ฝนสาดก็ได้ อย่าไปละลายแล้วกัน อยู่ในจุดที่เราเป็นให้ดีที่สุด

น่าเสียดาย ที่เรามีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ แต่เรากลับศรัทธาไสยศาสตร์หัวปักหัวปำ

น่าเสียดายที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่แสนดี แต่เรากลับมีคนโกงกินเต็มบ้านเต็มเมือง

น่าเสียดายที่เรามีวัดอยู่เกือบทุกหมู่บ้าน/ตำบล แต่เรากลับมากด้วยคนขาดจริยธรรมอยู่ทั่วไป

น่าเสียดาย ที่เราสถาปนาประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. 2475 แต่เรากลับมีปฏิวัติ/รัฐประหารมาแล้ว14 ครั้ง

น่าเสียดายที่เรามีมหาวิทยาลัยมากมายติดอันดับโลก แต่เรากลับโชคร้ายที่คนไทยชอบดูดวงบวงสรวงเทพยดา

น่าเสียดายที่เรามีป่าไม้-แม่น้ำ-ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ แต่เรากลับเทิดทูนการทำลายแทนการรักษา

น่าเสียดาย ที่เรามีศิลปวัฒนธรรมเป็นของตนเอง แต่เรากลับเก่ง "การลอกเลียนแบบ" เป็นที่สุด

น่าเสียดายที่เรามีสื่อมวลชนมากมายไร้พรมแดน แต่เจ็บปวดเหลือแสนเมื่อสื่อมวลชนมุ่งแต่การขายสินค้า

น่าเสียดาย ที่เรามีกฎหมาย แต่เรากลับปล่อยให้มีการใช้กฎหมู่จนเป็นเรื่องธรรมดา

น่าเสียดาย ที่เรามีหนังสือมากมายหลายพันเล่มในห้องสมุด แต่สถิติสูงสุดคือเราอ่านหนังสือกันปีละ8 บรรทัด

น่าเสียดายที่เรามีอินเทอร์เน็ตใช้ก่อนประเทศในโลกที่สาม แต่เรากลับเสื่อมทรามเพราะใช้ส่งภาพถ่ายคลิปโป๊

น่าเสียดายที่เรามีโทรทัศน์หลายสิบช่อง แต่เรากลับจ้องจะดูแต่ละครน้ำเน่า

น่าเสียดาย ที่เรามีพ่อแม่อยู่ในบ้าน แต่เรากลับปล่อยให้ท่านอยู่อย่างเปลี่ยวเหงา

มีเงินนับแสนล้าน แต่ใช้จริงวันละไม่ถึง ๑๐๐ บาท มีไปทำไม ?

มีบ้านใหญ่โตเหมือนกับวัง แต่อยู่กันแค่ ๔ คนพ่อแม่ลูก มีไปทำไม ?

มีรถนับสิบคัน แต่ใช้งานจริงแค่คันเดียว มีไปทำไม ?

มีเตียงใหญ่โตมโหฬาร แต่นอนเพียงแค่เต็มแผ่นหลัง มีไปทำไม ?

มีนาฬิกาแสนแพง แต่ไม่เคยทำอะไรตรงเวลา มีไปทำไม ?

มีเวลาอยู่ในโลกไม่ถึงร้อยปี แต่กลับแบ่งเวลาไปริษยาคนอื่น ทำไปทำไม ?

มีกฎหมายนับพันมาตรา แต่มีอาชญากรอยู่เต็มเมือง มีไปทำไม ?

มี ส.ส. อยู่เต็มสภา แต่มาประชุมไม่เคยครบเลย มีไปทำไม ?

มีพ่อแม่อยู่ที่บ้าน แต่ไม่เคยปรนนิบัติท่านเลย มีไปทำไม ?

มีอำนาจอยู่เต็มมือ แต่ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรเลย มีไปทำไม ?

มีภรรยาแสนดี แต่ไม่เคยแบ่งเวลาให้เธอเลย มีไปทำไม ?

มีลูกแสนน่ารัก แต่ไม่เคยโอบกอดลูกเลย มีไปทำไม ?

มีพระไตรปิฎกอยู่เต็มตู้ แต่ไม่เคยเปิดออกมาศึกษาเลย มีไปทำไม ?

มีวัดอยู่แทบทุกหมู่บ้าน แต่ศีลธรรมของสังคมแย่ลงทุกวัน มีไปทำไม ?

มีรองเท้าเป็นพันคู่ แต่ใส่จริงแค่วันละคู่ มีไปทำไม ?

มีพี่น้องนับสิบคน แต่แตกสามัคคีกันทุกคน มีไปทำไม ?

มีมือมีเท้าสมบูรณ์ แต่ไม่เคยลงแรงทำอะไรเลย มีไปทำไม ?

มีหูอยู่สองข้าง แต่ไม่เคยฟังธรรมเลย มีไปทำไม ?

มีตาอยู่สองข้าง แต่ไม่เคยมองหาสิ่งที่ดีเลย มีไปทำไม ?

มีเท้าอยู่สองข้าง แต่ไม่เคยเดินเข้าหาโอกาสเลย มีไปทำไม ?

มีปัญญาอยู่กับตัว แต่กลับใช้อารมณ์เป็นใหญ่ มีไปทำไม ?

ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี

คนธรรมดาทำบุญก็อยากได้บุญ คนมีปัญญาทำบุญหวังจะเกิดในภพใหม่ที่ดีกว่าเดิม แต่ชาวพุทธแท้ทำบุญเพื่อการปล่อยวางกิเลสอย่างสิ้นเชิง

ยามปกติเลี้ยงลูก ด้วยเมตตา ยามมีปัญหาคอยช่วยเหลือด้วยกรุณา ยามลูกทำดีคอยส่งเสริมด้วยมุทิตา ยามลูกทำผิดปล่อยให้รับกรรมด้วยตัวเอง คือ อุเบกขา

คนขุดบ่อน้ำก็ลง ต่ำอยู่ในดิน คนก่อกำแพงก็ขึ้นสูงตามกำแพงที่ก่อ ฉันนี้ฉันใดคนทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น จะสูงจะต่ำขึ้นอยู่กับการกระทำของตน

คนฉลาดชอบแกล้งโง่ คนโง่ชอบเสแสร้งว่าฉลาด ส่วนนักปราชญ์เรียนรู้ที่จะฉลาดและเรียนรู้ที่จะโง่

บิล เกตต์ เรียนไม่จบแต่พบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เพราะเป็นคนใฝ่เรียนรู้ด้วยตนเอง ปัญญาไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัยแต่อยู่ในจิตใจที่ใฝ่รู้

คนส่วนใหญ่เรียกร้องสิทธิมนุษยชน แต่คนมีปัญญาเรียกร้องสิทธิที่จะไม่ทุกข์

ความไม่รู้ เป็นยอดแห่งมลทิน ปัญญาเป็นยอดแห่งสิริมงคลความถ่อมตนเป็นยอดแห่งเสน่ห์

รถทุกคันล้วนมีเบรก รถทุกคันล้วนมีท่อไอเสีย คนทุกคนต้องมีเบรกคือสติ ต้องมีท่อไอเสียคือการปล่อยวาง

ความทุกข์ไม่เคยยึดติดเรา มีแต่เราต่างหากที่ยึดติดความทุกข์ ความสุขไม่เคยไปจากใจเรา มีแต่เราต่างหากที่ไม่เคยถนอมมันไว้ในใจของเรา

ยศ ทรัพย์ อำนาจเป็นเพียงมรรควิธีที่ทำให้ชีวิตนี้มีประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ โปรดอย่าเข้าใจผิดว่าเป็นเป้าหมายในการเกิดเป็นมนุษย์

ทำผิดแล้วรู้สึกผิดต่อไปจะเป็นคนดี ทำผิดแล้วรู้สึกว่าเป็นความดีกาลกิณีจะเกิดขึ้นในไม่ช้า

ที่สุดของความรักคือรักโดยไม่ครอบครอง ที่สุดของการให้คือให้โดยไม่หวังผล ที่สุดของทานคืออภัยทาน ที่สุดของคนคือการเป็นคนธรรมดาที่มีความสุข

ความรักไม่เคยทำให้ใครทุกข์ การไม่รู้จักธรรมชาติของความรักต่างหากที่ทำให้เกิดทุกข์ ธรรมชาติของความรักคือเกิดขึ้นในเบื้องต้น ดำรงอยู่ในท่ามกลาง และแตกดับไปในที่สุด

นี้มีผี 6 ตัวที่น่ากลัวกว่าผีไหนๆ 1 ผีสุรา 2ผีเที่ยวกลางคืน 3. ผีมหรสพ (ติดใจในความบันเทิงจนเกินพอดี) 4 ผีการพนัน 5 ผีคบคนชั่วเป็นมิตร (คนชั่วอยู่ไหนชอบเถลไถลไปสนิทสนม) 6 ผีขี้เกียจ ผี 6 ตัวนี้ต้องปราบด้วยปฏิบัติธรรม

แก้วที่คว่ำอยู่กลางสายฝน ต่อให้ฝนตกกระหน่ำทั้งคืน ก็ไม่อาจเต็มไปด้วยน้ำ คนที่ไม่ยอมเปิดใจเรียนรู้ ต่อให้คลุกคลีอยู่กับนักปราชญ์ทั้งคืนทั้งวัน ก็ยังโง่เท่าเดิม

นัยอันลึกล้ำของคำว่าขอบคุณขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้จักครูที่ชื่อประสบการณ์ขอบคุณความผิดหวัง ที่ทำให้ตั้งสติเพื่อลุกขึ้นใหม่ขอบคุณศัตรูที่แกร่งกล้า ที่ทำให้รู้ว่าเรายังไม่ใช่มืออาชีพ

อยู่ให้คนเขารัก จากไปให้คนเขาอาลัย ล่วงลับไปให้คนเอ่ยอ้างถึงอยู่ให้คนรัก คืออยู่อย่างผู้ให้จากไปให้คนอาลัย คือก่อนจาก สร้างสรรค์แต่สิ่งมีคุณค่าล่วงลับไปให้คนระลึกถึง คือเวลามีชีวิต ทำแต่คุณงามความดีจนเป็นที่จดจำ.

สิทธิของคุณ : คุณมีสิทธิ์ ที่จะไม่โง่

สิทธิของคุณ : คุณมีสิทธิ์ ที่จะไม่ทุกข์

สิทธิของคุณ : คุณมีสิทธิ์ ที่จะไม่ท้อ

ลดการเที่ยวเตร่ให้ น้อยลง เพิ่มการอยู่กับครอบครัวให้มากขึ้น

ลดความงมงายให้น้อยลง เพิ่มความมีเหตุผลให้มากขึ้น

โปรด...อย่าลืม ! : อย่าลืม ว่าเวลาไม่อาจรีไซเคิล

โปรด...อย่าลืม ! : อย่าลืม ว่าพ่อแม่ไม่ได้อยู่กับเราไปตลอด


ที่มา จาก http://www.facebook.com/v.vajiramedhi

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น